ตีค่าเงินของคุณตามมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์

บทความโดย : อ.เอกชัย บุญยาทิษฐาน

วันที่ 4 สิงหาคม 2553

 

    เป็นที่แน่นอนว่าเป้าหมายหลักในการทำธุรกิจนั้นคือผลกำไร เจ้าของกิจการ

หรือผู้ถือหุ้นที่นำเงินมาลงทุนในกิจการต่างก็มุ่งหวังให้กิจการของตน หรือกิจการ

ที่เอาเงินไปลงทุนนั้นได้ผลกำไรสูงสุดหากจะถามว่าผลกำไรที่เกิดขึ้นนั้นสามารถดูได้

จากที่ไหน?

    คำตอบก็คือมาจากแหล่งเดียวเท่านั้นคือดูได้จากรายงานทางการเงินที่ออกมา

ในรูปของงบกำไรขาดทุน จึงมีคำถามสำคัญที่หลายคนจะต้องหาคำตอบให้ได้คือ

    มั่นใจได้แล้วหรือว่าผลกำไรที่มองเห็นได้จากงบกำไรขาดทุนที่ทางฝ่ายบัญชี

ทำกันออกมาเป็นตัวเลขผลกำไรที่แท้จริง?

    หากมั่นใจเช่นนั้นได้ก็คงไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องขบคิดกันให้มาก  เพราะหาก

ตัวเลขผลกำไรไม่ดีพอก็ตั้งเป้าหมายผลกำไรที่ต้องการ แล้วก็หาวิธีการที่จะให้ได้มาซึ่ง

ผลกำไรที่ต้องการนั้นซึ่งในทางปฏิบัติก็คงทำได้ไม่ยากเย็นนัก คือการเข้าไปดูรายละเอียด

ในงบกำไรขาดทุน เพื่อหาตัวการสำคัญที่ทำให้ผลกำไรลด แล้วหาทางแก้ไข

    ทว่าในความเป็นจริงความมั่นใจที่ว่านั้นอาจกลายเป็นความหลงผิดที่ลวงตาอยู่

เหตุผลก็เพราะที่มาที่ไปของตัวเลขผลกำไรที่ปรากฏอยู่ในงบกำไรขาดทุนนั่นเอง

หากตัวเลขผลกำไรนั้นเกิดมาจากรายรับจริง หรือยอดขายที่กิจการทำได้จริงที่พิสูจน์ได้

จากเอกสารรายรับทั้งหลายที่มีอยู่ บวกเข้ากับรายรับอื่นที่มีอยู่จริง หักลบด้วยรายจ่ายอื่น

ที่มีอยู่จริงตามเอกสารก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้นมันยังมี

ตัวเลขต่างๆที่นำมาบวกเข้า และหักออกซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เป็นตัวเงินจริง หรืออาจเป็น

ตัวเลขของสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เช่นรอบปี รอบ 6 เดือน รอบไตรมาส

หรือแม้กระทั่งรายเดือนจริง  และเมื่อถึงเวลาที่มันจะเกิดขึ้นจริงซึ่งอาจเป็นในรอบปีหน้า

ตัวเลขต่างๆที่คาดว่าจะได้มากลับไม่อาจได้มาก็เป็นได้

    เช่นหนี้สูญ เป็นต้น และที่แย่กว่านั้นคือการจงใจสร้างตัวเลขขึ้นเอง

    ในเมื่อมีตัวเลขที่ไม่แน่นอนปรากฏอยู่ในงบการเงิน  จึงย่อมเป็นที่สงสัยว่า

ผลกำไรที่เห็นกันอยู่นั้นมันจะเป็นของจริงไปได้อย่างไร?  ในเมื่อมันไม่จริงแล้วเอาตัวเลข

เหล่านั้นไปเป็นฐานในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับผลกำไร มันก็อาจหลงทางเสียทั้งเงิน

เสียทั้งเวลา กำลังความคิด และกำลังใจของผู้ที่เกี่ยวข้องแต่กลับแก้ไขปัญหาไม่ได้

 

    วิธีที่จะแก้ไขเหตุการณ์เหล่านี้ได้ก็คือการค้นหาตัวเลขที่เป็นผลกำไร

ที่เกิดขึ้นจริงตามที่กล่าวแล้วข้างต้น คำถามก็คือว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ตัวเลขนั้น

ออกมา วิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่เห็นกันอยู่ในเวลานี้ก็คือการใช้เทคนิค

ที่เรียกว่า “eva หรือ Economic Value Added” ที่พูดได้ว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ

อยู่ในระบบการบริหารจัดการ EVM เมื่อนำเทคนิคนี้มาใช้ก็จะทำให้กิจการเห็นผลกำไร

ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด

    ประโยชน์ที่สำคัญของการที่รู้ตัวเลขผลกำไรแท้จริงที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า

การนำมาแก้ไขปัญหาการดำเนินงานก็คือการที่เจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นจะได้รับรู้

ถึงผลการประกอบการที่แท้จริงของกิจการว่าเป็นอย่างไรกันแน่โดยปราศจากการ

เสกสรรค์ปั้นแต่ง ซึ่งหากไม่ดีก็สามารถที่จะกำหนดให้ผู้บริหารกิจการปรับปรุง

การดำเนินงานให้มีความเหมาะสมตามที่ต้องการได้

     สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการนำระบบนี้มาใช้คือการปรับปรุงผล

การดำเนินงาน  กิจการทั่วไปที่มีระบบงานที่เป็นสากลรองรับอยู่จะมีสิ่งที่ต้องทำ

อย่างหนึ่งคือการสร้างตัวชี้วัดเพื่อใช้เป็นเป้าหมายในการพัฒนา  ตัวชี้วัดที่สร้าง

กันขึ้นมาใช้ในเกือบทุกระบบล้วนเป็นตัวเลขที่มาจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน

หรืออาจจะพูดว่าหยิบมาจากอากาศ แต่เทคนิคของ eva ที่อยู่ในระบบ EVM นั้น

จะได้ตัวเลขที่ประมวลมาจากความเคลื่อนไหวทางการเงินที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

และเป็นของจริง  ซึ่งเมื่อนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดเพื่อขยายออกไปสู่ระบบการบริหาร

จัดการแล้วจึงเป็นตัวชี้วัดที่อยู่บนรากฐานของความเป็นจริง

    หากเพียงแต่ท่านสามารถนำหลักการของ EVM มาใช้กับองค์กรของท่าน

ท่านจะสามารถสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนมากแค่ไหน