- เพื่อสร้างวัฒนธรรมของการเป็น ศูนย์ ซึ่งหมายถึง อุบัติเหตุเป็นศูนย์ ของเสียเป็นศูนย์ เครื่องเสียเป็นศูนย์ ในทุกกระบวนการผลิต โดยใช้หลักการ 5G
- เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน ของพนักงานทุกระดับ ในอันที่จะลดความสูญเสียลง ตั้งแต่ ผู้บริหารระดับสูง จนถึงพนักงานหน้างาน
- เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน ของพนักงานทุกแผนก ทุกหน่วยงานในองค์กร ในอันที่จะลดความสูญเสียลง
- เพื่อให้ทักษะ ความรู้ ความสามารถของพนักงานทุกคนสูงขึ้น
- เพื่อปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กร ไปสู่การเป็นผู้ผลิตที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
บทความแนะนำ
Related Posts
ปากบอกจะลดต้นทุน จะลดได้อย่างไร (2)
วันก่อนกล่าวถึงเรื่องของ ต้นทุนทั้งแบบต้นทุนทางอุดมคติ ต้นทุนปัจจุบัน และต้นทุนในการแข่งขัน แล้วก็บอกว่า การลดต้นทุนคือการลดความสูญเสีย โดยให้มองหาความสูญเสียที่เกินออกไปจากต้นทุนทางอุดมคติ ก่อนจะไปกันต่อ ขอเน้นย้ำเรื่องต้นทุนในอุดมคติอีกครั้งว่าเป็นต้นทุนในฝัน เป็นต้นทุนทางความคิด ที่ไม่มีความสูญเปล่า ความสูญเสียเลย เครื่องจักรไม่มีเวลาหยุด ไม่มีเวลาในการเปลี่ยนงาน ไม่มีของเสีย ไม่มีวัตถุดิบทิ้ง หรือ วัตถุดิบเหลือทิ้งเลย นี่คือต้นทุนทางอุดมคติ ถ้าจะลดต้นทุนก็ให้ลดจาก ต้นทุนที่แตกต่างจาก”ต้นทุนในอุดมคติ” แต่ ความสูญเสีย ที่ต่างไปจากต้นทุนในอุดมคตินั้น บางทีมันก็ลดไม่ได้ เช่น สมมุติว่าเราเป็นโรงงานปลากระป๋อง เราซื้อปลามา 10 กก. ซึ่งปลานั้นมีทั้งหัวปลา ตัวปลา หางปลา แต่เวลาที่เราจะทำปลากระป๋องขายเราต้องตัดหัวปลา หางปลา หรือเครื่องในของปลาออกไป ซึ่งนั่นทำให้ปลา 10 กก. ไม่สามารถผลิตได้เป็นปลากระป๋อง 10 กก. ด้วย ถามว่า หัวปลา หางปลา เครื่องในปลา เป็นความสูญเสียหรือไม่ ต้องบอกว่า “เป็นความสูญเสีย” แต่ เป็นวามสูญเสียแบบที่เราเรียกว่า “ความสูญเสียที่ยังไม่อาจลดได้” หรือ Untouchable Losses ซึ่งมีอยู่ในทุกโรงงาน โรงงานปั้มขึ้นรูปแผ่นเหล็ก ซื้อเหล็กแผ่นมาปั้ม ก็มีขอบ ๆ ที่ต้องทิ้งออกไป โรงงานฉี่พลาสติกก็ต้องมีรันเนอร์ที่ต้องออกมาจากการผลิต พวกนี้เป็นความสูญเสียแบบ ความสูญเสียที่ยังไม่อาจจะลดได้ ความสูญเปล่าแบบนี้เป็นไปตามเทคนิควิธีการละเทคโนโลยีในการผลิต ซึ่งก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามความสามารถของเครื่องจักร เทคนิค และเทคโนโลยีในแต่ละยุคแต่ละสมัย ความสูญเปล่าอีกแบบหนึ่งเป็นความสูญเปล่าแบบที่เรียกว่า “ความสูญเสียที่จับต้องได้” หรือ Touchable Losses ความสูญเสียแบบนี้แหละที่เป็นตัวถ่วงทำให้ต้นทุนปัจจุบันของเราสูงโดยไม่จำเป็น ความสูญเปล่าพวกนี้เป็นความสูญเปล่าที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสีย เวลาเปลี่ยนงาน ของเสีย เป็นต้น ความสูญเสียพวกนี้เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการทำงานของเราเอง ไม่เกี่ยวกันเครื่องจักร เทคโนโลยี หรือกระบวนการแต่อย่างใด การลดต้นทุนที่จะลดได้นั้น ต้องมองจากความสูญเสียที่จับต้องได้นี้เป็นหลัก แต่ โรงงานส่วนมากมักมองไม่ออกและแยกไม่ได้ระหว่าง ความสูญเสียที่จับต้องไป กับความสูญเสียที่ยังไม่อาจลดได้เช่น เครื่องจักรเสีย ยอมรับได้ที่ 0.5% เป็นต้น นั่นหมายความว่า เรากำลังเอา ความสูญเสียจากเครื่องเสียจำนวน 0.5% ที่ควรจะเป็นความสูญเสียที่จับต้องได้แก้ไขได้ ไปใส่ไว้ในความสูญเสียที่ยังไม่อาจลดได้ เท่ากับเป็นการยอมรับให้ปัญหามันเกิดขึ้น นั่นคือ “การซุกปัญหาไว้ใต้พรม” เราจึงควรพิจารณาให้ดีว่า ความสูญเสียที่ไม่อาจลดได้ นั้นต้องมาจาก เทคโนโลยี ความจำเป็นเฉพาะของเครื่องจักร และไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันย่อมต้องเกิดขึ้นเหมือนกัน ไม่ได้เกิดจากการดำเนินการขององค์กรเอง คราวหน้าจะมาคุยเรื่อง ความสูญเสียกับต้นทุน บ้าง แถวนี้มีนักบัญชีไหม!!!! Read more →
ปากบอกจะลดต้นทุน จะลดได้อย่างไร
โรงงานส่วนมากจะทำกิจกรรมเพื่อลดต้นทุนแทบทั้งสิ้น (ถ้าองค์กรไหนยังไม่ได้ทำต้องถือว่า เชยมาก ๆ) เพราะกิจกรรมลดต้นทุนนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับองค์กรที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ แต่เมื่อเราทำกิจกรรมลดต้นทุนพวกนี้ไปนาน ๆ สิ่งหนึ่งที่ทุกองค์กรต้องประสบพบเจอ “ทางตัน” เกิดอาการหมดมุกหรืออาการที่ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอะไรต่อดี ในความเป็นจริงแล้วการลดต้นทุนนั้น เราไม่ได้ไปลดที่ตัวต้นทุนจริง ๆ เช่น สมมุติว่าเราทำธุรกิจกิจปลากระป๋องปกติเราใส่ปลาเข้าไป 4 ตัวต่อกระป๋อง เราจะมาลดต้นทุนโดยการใส่เข้าไป 3 ตัว แบบนี้ก็คงจะไม่ได้ เพราะนั่นจะทำให้มีปัญหาอย่างอื่นตามมา เราต้องมองให้เข้าใจว่าในความเป็นจริงนั้นต้นทุนที่เราพูดเรากำลังพูดถึงต้นทุนแบบไหนกัน ต้นทุนนั้นมีด้วยกัน แบบต้นทุนแบบแรก คือ ต้นทุนทางอุดมคติ คือต้นทุนที่ไม่มีความสูญเปล่าความสูญเสียอยู่เลย ถ้าเป็นการผลิตก็ต้องบอกว่า ไม่มีของเสีย ไม่มีเครื่องเสีย ไม่มีเวลาที่เสียไปจากการเปลี่ยนงาน หรือแม้นแต่ความคลาดเคลื่อนก็ไม่มี เช่น ชิ้นงานมีน้ำหนัก 50 กรัม +/- 2 กรัม ตรง +/- 2 กรัมนี่ก็ไม่มี มีแต่ 50 กรัมถ้วน ๆ เท่านั้น ไม่มีแม้นแต่ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ใช้เวลาในการผสมเกินไป 15 วินาที ก็ยอมไม่ได้ ลูกค้า Claim หรือ Complaint ก็ไม่ ต้นทุนในอุดมคติก็คือต้นทุนในทางจิตนาการ เป็นต้นทุนที่คิดว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบไปหมด ต้นทุนในการแข่งขัน คือ ต้นทุนที่เมื่อหักออกจากราคาขายแล้วยังทำให้องค์กรสามารถอยู่ได้หรือมีกำไรนั่นเอง เมื่อไรก็ตามที่องค์กรยังทำงานบนต้นทุนนี้ องค์กรก็ยังพอที่จะมีสามารถในการแข่งขันอยู่ ต้นทุนนี้จะสูงกว่าต้นทุนทางอุดมคติมาก ต้นทุนปัจจุบัน คือ ต้นทุนที่องค์กรแบกรับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะสูงหรือต่ำกว่าต้นทุนในการแข่งขันก็ได้ โดยที่องค์กรใดก็ตามที่ต้นทุนปัจจุบันสูงกว่าต้นทุนในการแข่งขันนั่นคือองค์กรเตรียมตัวเจ้งได้ ส่วนองค์กรไหนที่ต้นทุนปัจจุบันต่ำกว่าต้นทุนในการแข่งขันองค์กรนั้นก็ยังคงสามารถอยู่ในตลาดได้ต่อไป ทีนี้เราก็ต้องมาดูว่า ถ้าเราจะทำกิจกรรมลดต้นทุน เราจะมองแค่ทำให้ต้นทุนของเราต่ำพอที่จะแข่งขันได้เท่านั้นคงจะไม่ดีเป็นแน่ เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าภาวะของตลาดจะเป็นอย่างไร เราไม่อาจจะทราบได้ว่าคู่แข่งของเราเขาลดต้นทุนได้มากกว่าเราหรือไม่ เท่ากับเราก็ทำงานตามหลังคนอื่นอยู่เสมอ มุมมองที่ดีต่อการลดต้นทุนก็คือ เราต้องมองที่ต้นทุนทางอุดมคติ นั่นคือเราต้องมองต้นทุนปัจจุบันของเราเองเทียบกับต้นทุนทางอุดมคติว่า ต้นทุนปัจจุบันของเราถ้าต่ำกว่าต้นทุนทางอุดมคติก็แสดงว่าเราคิดต้นทุนทางอุดมคติผิด แต่ถ้าต้นทุนปัจจุบันของเราสูงกว่าต้นทุนทางอุดมคตินั่นก็หมายความว่า “ในการทำงานของเรานั้น มีความสูญเสีย ความสูญเปล่าเกิดขึ้น” ยิ่งถ้าต้นทุนปัจจุบันสูงกว่าต้นทุนทางอุดมคติมากเท่าไร ก็แสดงว่า องค์กรของเรามีความสูญเสียมากเท่านั้น และเมื่อไรก็ตามที่มีความสูญเสีย ความสูญเปล่า นั่นก็คือโอกาสที่เราจะลดต้นทุนเพื่อที่จะทำให้ต้นทุนในปัจจุบันลดลงมาได้ ความหน้าจะเล่าว่า แล้วความสูญเสีย ความสูญเปล่า มีกี่แบบ Read more →
ปากบอกจะลดต้นทุน จะลดได้อย่างไร (3)
ถ้าพูดถึง TPM หรือ Total Productive Maintenance แต่ไม่พูดถึง “การลดต้นทุน” ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ TPM เพราะสุดท้ายสิ่งที่องค์กรหรือผู้บริหารอยากได้จากการทำ TPM ก็คือ “ต้นทุนที่สามารถแข่งขันและทำให้องค์กรอยู่รอดได้” เพราะนั่นคือสิ่งที่ TPM แตกต่างจากกิจกรรมอื่น ๆ แต่ถ้าพูดถึงต้นทุนเราคงต้องทำความเข้าใจว่า ต้นทุนนั้นมีอะไรบ้าง ต้นทุนในทางบัญชีประกอบ 2 ต้นทุนหลัก ๆ คือ ต้นทุนในการผลิต กับ ต้นทุนในการขายและบริหาร ต้นทุนในการผลิต คือต้นทุนที่องค์กรใช้ในการแปรรูปจากวัตถุดิบเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ขององค์กร ซึ่งก็จะประกอบไปด้วย วัตถุทางตรง วัตถุทางอ้อม ค่าแรงทางตรง และค่าแรงทางอ้อม ซึ่งการที่ต้นทุนประเภทนี้จะเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของฝ่ายโรงงาน ต้นทุนขายและบริหาร คือต้นทุนที่ใช้ในการขายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพื่อทำให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไปถึงมือลูกค้า ต้นทุนประเภทนี้จะเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารและฝ่ายขาย ถึงแม้นว่า TPM จะมุ่งที่ผลลัพธ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต แต่ TPM เองก็ไม่ได้ลดต้นทุนการผลิตโดยตรง TPM มุ่งที่จะลดความสูญเปล่าในการผลิตให้ต่ำลง เมื่อความสูญเปล่าลดลงต้นทุนจะลดลงไปเอง ความสูญเปล่าในมุมมองของ TPM มีด้วยกัน 16 ความสูญเปล่า มีอะไรบ้างนั้นลองหาอ่านกันได้ที่ https://www.tpmthai.com/ความสูญเสีย-16-ประการ/ หากเราพิจารณาที่ความสูญเปล่าจะเห็นว่า ความสูญเปล่าแต่ละตัวนั้น ส่งผลกระทบที่แตกต่างกัน รายละเอียด https://www.tpmthai.com/ธรรมชาติของความสูญเสีย/ เมื่อเป็นเช่นนั้น ความสูญเสียแต่ละตัวย่อมส่งผลต่อต้นทุนที่แตกต่างกันด้วย สมมุติว่า เราเป็นโรงงานกลึงชิ้นงาน ความสูญเสียจากการที่เรากลึงงานผิดหรือเกิดของเสีย ย่อมส่งผลต่อวัตถุทางตรง วัตถุทางอ้อม ค่าแรงทางตรง ค่าแรงทางอ้อม แต่เครื่องกลึงเสียอาจส่งผลกระทบแค่ค่าแรงทางตรง เพราะเครื่องกลึงเสียอาจไม่ทำให้ชิ้นงานเสียไปด้วย ความสูญเสียแต่ละตัวจึงส่งผลต่อต้นทุนที่แตกต่างกันไป เราจึงต้องให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นกับผลกระทบในแง่ต้นทุนว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนอย่างไร กระทบต่อ วัตถุทางตรง วัตถุทางอ้อม ค่าแรงทางตรง ค่าแรงทางอ้อม ตัวไหนมากน้อยอย่างไร และจึงจะมาหาทางลดต้นทุนในการผลิตด้วยการลดความสูญเปล่านั้น ๆ ลง ใน TPM เราจึงต้องสร้างตารางความสัมพันธ์ระหว่าง ต้นทุนกับความสูญเปล่าหรือ Cost vs. Losses Matrix ขึ้นมา เพื่อดูว่าจะไปลดความสูญเปล่าใดที่ประบวนการไหนแล้วจึงจะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง หากไม่มีตางรางนี้ก็เหมือนกับการพยายามปิดตาแล้วงมเข็มในกองฟางนั่นเอง Read more →
การจัดการความรู้ในองค์กร
การจัดการความรู้ในองค์กร (จาก Factory Digest Vol.3 Nov. 15) ในปัจจุบันการย้ายงานเป็นเรื่องที่สร้างความปวดหัวให้กับองค์กรต่างๆ มากมาย เพราะการหากำลังคนเข้ามาทำงานไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่สุดของการโยกย้าย เพราะไม่ใช่แค่กำลังคนเท่านั้นที่ถูกย้ายออกไปแต่เป็น ความรู้และทักษะของคนๆนั้นที่ถูกโยกย้ายออกไปด้วย มีงานวิจัยพบว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการสรรหา คัดเลือก ฝึกอบรมพนักงานใหม่มาแทนพนักงานเดิมที่ออกไปนั้นจะอยู่ราว 5-10 เท่าของเงินเดือนของพนักงานที่ออกไป และค่าใช้จ่ายนี้ส่วนมากจะหมดไปกับการฝึกอบรมพนักงานใหม่ให้มีความสามารถที่จะทำงานแทนพนักงานเดิมได้ ดังนั้นยิ่งเราใช้เวลาในการฝึกอบรมมากเท่าไรก็จะยิ่งส่งผลร้ายต่อองค์กรมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นองค์กรจึงต้องหาทางพัฒนาพนักงานใหม่ให้มีความรู้ความสามารถตรงตามตำแหน่งที่กำหนดไว้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้การพัฒนาพนักงานที่มีอยู่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน จะเห็นได้ว่าพนักงานแต่ละคนอาจจะมีความรู้หรือทักษะบางอย่างที่แตกต่างกันทำให้แต่ละคนมีผลงานที่ออกมาแตกต่างกันด้วย การถ่ายทอดและประสบการณ์ความรู้จากคนหนึ่งสู่คนหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การจัดการความรู้ในองค์กรจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะเข้ามาช่วยองค์กรในการที่จะรักษาความรู้ที่สั่งสมมาขององค์กรให้คงอยู่ในองค์กร ไม่สูญหายหรือโยกย้ายไปพร้อมกับคนที่โยกย้ายออกไป รวมถึงถ่ายทอดจากพนักงานที่เก่งกว่าสู่พนักงานคนอื่นๆ เพื่อให้พนักงานทุกคนมีความรู้ในการที่จะแก้ไขปัญหาและยังสามารถต่อยอดไปสู่ความรู้ใหม่ๆได้มากขึ้น เพื่อสร้างเป็นทุนทางปัญญาหรือ Intellectual Capital ที่จะนำไปใช้ในการรับมือกับคู่แข่งทางการธุรกิจต่อไป ในกระบวนการจัดการความรู้นั้น สามารถแบ่งได้เป็นขั้นตอนดังนี้ การบ่งชี้ความรู้เป็นการพิจารณาในการทำงานตามตำแหน่งต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ผู้ที่ทำงานๆนั้นต้องมีความรู้อะไรบ้าง การสร้างความรู้ เป็นการสร้างความรู้ต่างๆ จากประสบการณ์ จากการทำงาน จากทฤษฎีที่เรียนรู้มาในองค์การ การสะสมและจัดเก็บความรู้ เป็นการนำความรู้ที่ได้สร้างมาแล้ว มาจัดเก็บให้เป็นระบบเพื่อให้สามารถนำเอาความรู้ที่สะสมไปแล้วนั้นนำกลับมาใช้ในการเรียนรู้ แก้ไขปัญหา หรือการสร้างความรู้ใหม่หรือที่เรียกว่าต่อยอดต่อไปได้ การเรียนรู้ เป็นการนำเอาความรู้ที่สะสมมา มาทำการเรียนรู้เพื่อนำเอาความรู้นั้นไปใช้ในการทำงานให้เกิดประสิทธิผล หรือ การแสวงหาผู้รู้ เป็นการสร้างผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นภายในองค์กร เพื่อให้สามารถสร้างความรู้ใหม่หรือถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่ส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดๆไป หรือเพื่อนำเอาความรู้นั้นมาต่อยอดต่อไปโดยผู้ที่เชี่ยวชาญทำให้ลดเวลาในการพัฒนาความรู้ใหม่ๆขึ้นมาในองค์กรได้ กระบวนการจัดการความรู้จึงมีหลากหลายมิติที่ต้องจัดทำ และมีหลายความรู้ที่ต้องจัดเตรียม หากเราจะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แต่เพียงฝ่ายเดียวก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถบ่งชี้ความรู้ สร้างและจัดเก็บความรู้ จัดอบรม และหาผู้รู้ในองค์กร เทคนิคอย่างหนึ่งที่จะสามารถนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ เทคนิคการจัดการความรู้ด้วย OPL หรือ One Point Lesson หรือบทเรียนหนึ่งจุด โดยทั่วไปการเขียนความรู้ต่างๆ ก็มักจะเขียนลงในรูปแบบของขั้นตอนการปฏิบัติงานหรือ Work Instruction ที่จะเขียนขั้นตอนการทำงานต่างๆลงไปทุกขั้นตอนใน Work Instruction เดียว ทำให้การเรียนรู้ช้า ผู้เรียนเกิดความสับสน อีกทั้งยังไม่สามารถกล่าวถึงความรู้ที่ต้องใช้ในการงานได้อย่างชัดเจน เพราะมุ่งเน้นที่ขั้นตอนการทำงานมากกว่าความรู้ที่ต้องใช้ในการทำงาน ส่วน OPL คือการเขียนหรือถ่ายทอดความรู้ของตนเองลงบนเอกสารซึ่งเน้นการใช้รูปภาพมากกว่าข้อความและสามารถสื่อสารได้ในเวลาอันสั้นไม่เกิน 5 นาที เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ง่าย สะดวก รวดเร็วกว่าการใช้ตัวอักษร ดังตัวอย่างข้างล่างนี้ ตัวอย่าง OPL จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า OPL นั้นสั้น กระชับ เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มากกว่าการใช้การอธิบายด้วยตัวหนังสือ จึงมีผู้นิยมใช้ในการสอนงานมากขึ้น แต่การใช้ OPL ต้องมีวิธีการจัดการกับ OPL ด้วย ทั้งนี้เนื่องจาก OPL แต่ละ OPL นั้นสั้น จึงใส่เนื้อหาได้ไม่มากนัก ทำให้จำนวนของ OPL ที่จะต้องสร้างในความรู้เรื่องหนึ่งๆนั้น มีจำนวนมาก ไม่สะดวกต่อการจัดเก็บและค้นหา เทคนิคการจัดการความรู้ด้วย OPL คือ การกำหนดความรู้ที่จำเป็นของแต่ละตำแหน่งงานแล้วสร้างเป็น OPL ด้วยการให้พนักงานทุกคนที่อยู่ในแต่ละตำแหน่งเขียนความรู้ของตนเองขึ้นมาแล้วนำไปความรู้นั้นไปตรวจสอบกับผู้เชี่ยวชาญหรือหัวหน้างาน จากนั้นจึงนำไปเก็บไว้เป็นสิ่งที่ต้องรู้ตามตำแหน่งงาน เมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามาหรือพนักงานเก่าต้องการที่จะทบทวนความรู้ ก็สามารถที่จะค้นหาความรู้ที่ต้องรู้ตามตำแหน่งของตนเองจาก OPL นั้นๆ การจัดการความรู้ด้วยเทคนิค OPL นี้จึงสอดคล้องกับ 5 ขั้นตอนของการจัดการความรู้ เพราะสามารถที่จะบ่งชี้ สร้าง สะสม จัดเก็บความรู้และนำมาความรู้ออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องมากกว่าวิธีการจัดการความรู้แบบอื่นๆ และยังสามารถค้นหาผู้เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆได้อีกด้วย ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน แบรนด์ Software Service Provider ของคนไทย ได้พัฒนาโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล OPL ในชื่อ René OPL ที่สามารถจัดการกับ OPL จำนวนมากๆได้ในรูปของฐานข้อมูลที่ทำให้... Read more →
Factory Digest Magazine Vol.3
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน Factory Digest ฉบับนี้ ก็เป็นฉบับที่ 3 แล้ว ที่เราได้พบกันทุก 2 เดือน หวังว่าทุกท่านคงจะสบายดี ผ่านหน้าฝนมาได้อย่างสุขภาพดีกันทุกคน ฉบับนี้เนื้อหาเรายังคงอ่านสบายๆ เพลินๆ ตามเดิม ด้วยเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันด้วยแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งแปลกแต่น่าสนใจ เทคนิคการจัดการความปลอดภัยที่นำไปใช้ได้จริง ซึ่งจะทราบถึงความสำคัญของความปลอดภัยกับผลผลิตไดัด้วย เรื่องของการบริหารร่างกาย เพื่อหนีจากอาการกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรังที่เราๆท่านๆ คนทำงานออฟฟิศเป็นกันบ่อย รวมถึงเรื่องของการจัดการความรู้แบบใหม่ที่ง่ายต่อทั้งคนเรียน คนสอนและคนบันทึกด้วยระบบ One Point Lesson และสุดท้ายด้วยเรื่องการจัดการบำรุงรักษาด้วยเทคนิคของ SMED กองบรรณาธิการ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Factory Digest ฉบับนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้และนำเอาไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ Click เพื่ออ่านต่อ Factory Digest Magazine Vol.3 บรรณวิท มณีเนตร 23/10/2558 Read more →